ลักษณะของการเคลื่อนที่ลักษณะของการเคลื่อนที่แบ่งได้ 4 ลักษณะ คือ
1. การเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นตรง
ลักษณะของการเคลื่อนที่แบบนี้เป็นพื้นฐานของการเคลื่อนที่ เพราะทิศทางการเคลื่อนที่จะมีทิศทางเดียว
แต่อาจจะเคลื่อนที่ไป-กลับได้ รูปแบบการเคลื่อนที่อาจจะแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น
- การเคลื่อนที่ของรถไฟบนราง
- การเคลื่อนที่ของรถบนถนนที่เป็นแนวเส้นตรง
- การเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก
2. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์
เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีแนวเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นรูปโค้งพาราโบลา และเป็นพาราโบลาทางแกน y
ที่มีลักษณะคว่ำการที่วัตถุเคลื่อนที่เป็นแนวเส้นโค้งเนื่องจากวัตถุเคลื่อน ที่เข้าไปในบริเวณที่มีแรงกระทำต่อ
วัตถุไม่อยู่ในแนวเดียวกับทิศของการเคลื่อนที่
3. การเคลื่อนที่แบบวงกลม
เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุรอบจุดๆหนึ่ง โดยมีรัศมีคงที่ การเคลื่อนที่เป็นวงกลม
ทิศทางของการเคลื่อนที่จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเร็วของวัตถุจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา ทิศของแรงที่กระทำจะตั้งฉากกับทิศของการเคลื่อนที่
แรงที่กระทำต่อวัตถุจะมีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลาง เราจึงเรียกว่า “แรงสู่ศูนย์กลาง”
ในขณะเดียวกัน จะมีแรงต้านที่ไม่ให้วัตถุเข้าสู่ศูนย์กลาง เราเรียกว่า “แรงหนีศูนย์กลาง” แรงหนีศูนย์กลางจะเท่ากับแรงสู่ศูนย์กลาง วัตถุจึงจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมได้
4. การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย
ลักษณะของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย จะเป็นการเคลื่อนที่ที่มีลักษณะ
พิเศษ คือ วัตถุจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาที่เราเรียกว่า แกว่ง หรือ สั่น การเคลื่อนที่แบบนี้จะเป็นการเคลื่อนที่อยู่ในช่วงสั้นๆ มีขอบเขตจำกัด เราเรียกว่า แอมพลิจูด (Amplitude) โดยนับจากตำแหน่งสมดุล ซึ่งอยู่ตรงจุดกลางวัดไปทางซ้ายหรือขวา เช่น การแกว่งของชิงช้า หรือยานไวกิงในสวนสนุก
รูป การสั่นและแกว่งของวัตถุ
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/109/unt12/un12.html
ตอบ ข้อ 3
สืบค้นข้อมูล
การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ
2.1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงที่ไปทิศทางเดียวกันตลอด เช่น โยนวัตถุขึ้นไปตรงๆ รถยนต์ กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง
2. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นเส้นตรง แต่มีการเคลื่อนที่กลับทิศด้วย เช่น รถแล่นไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง เมื่อรถมีการเลี้ยวกลับทิศทาง ทำให้ทิศทางในการเคลื่อนที่ตรงข้ามกัน
2.2 อัตราเร็ว ความเร่ง และความหน่วงในการเคลื่อนที่ของวัตถุ 1. อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ใน 1 หน่วยเวลา
2. ความเร่งในการเคลื่อนที่ หมายถึง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นใน 1 หน่วยเวลา เช่น วัตถุตกลงมาจากที่สูงในแนวดิ่ง
3. ความหน่วงในการเคลื่อนที่ของวัตถุ หมายถึง ความเร็วที่ลดลงใน 1 หน่วยเวลา เช่น โยนวัตถุขึ้นตรงๆ ไปในท้องฟ้า
2.1 การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง แบ่งเป็น 2 แบบ คือ
1. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงที่ไปทิศทางเดียวกันตลอด เช่น โยนวัตถุขึ้นไปตรงๆ รถยนต์ กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง
2. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นเส้นตรง แต่มีการเคลื่อนที่กลับทิศด้วย เช่น รถแล่นไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง เมื่อรถมีการเลี้ยวกลับทิศทาง ทำให้ทิศทางในการเคลื่อนที่ตรงข้ามกัน
2.2 อัตราเร็ว ความเร่ง และความหน่วงในการเคลื่อนที่ของวัตถุ 1. อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ใน 1 หน่วยเวลา
2. ความเร่งในการเคลื่อนที่ หมายถึง ความเร็วที่เพิ่มขึ้นใน 1 หน่วยเวลา เช่น วัตถุตกลงมาจากที่สูงในแนวดิ่ง
3. ความหน่วงในการเคลื่อนที่ของวัตถุ หมายถึง ความเร็วที่ลดลงใน 1 หน่วยเวลา เช่น โยนวัตถุขึ้นตรงๆ ไปในท้องฟ้า
3. การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
3.1 การเคลื่อนที่แบบวงกลม หมายถึง การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง เกิดขึ้นเนื่องจากวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่จะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ขณะนั้นมีแรงดึงวัตถุเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลม เรียกว่า แรงเข้าสู่ศูนย์กลางการเคลื่อนที่ จึงทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง เช่น การโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
3.2 การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวราบ เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุขนานกับพื้นโลก เช่น รถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่บนถนน
3.3 การเคลื่อนที่แนววิถีโค้ง เป็นการเคลื่อนที่ผสมระหว่างการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งและในแนวราบ
3.1 การเคลื่อนที่แบบวงกลม หมายถึง การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง เกิดขึ้นเนื่องจากวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่จะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ขณะนั้นมีแรงดึงวัตถุเข้าสู่ศูนย์กลางของวงกลม เรียกว่า แรงเข้าสู่ศูนย์กลางการเคลื่อนที่ จึงทำให้วัตถุเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบศูนย์กลาง เช่น การโคจรของดวงจันทร์รอบโลก
3.2 การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวราบ เป็นการเคลื่อนที่ของวัตถุขนานกับพื้นโลก เช่น รถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่บนถนน
3.3 การเคลื่อนที่แนววิถีโค้ง เป็นการเคลื่อนที่ผสมระหว่างการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งและในแนวราบ
ตอบข้อ 2
สื่บค้นข้อมูล
การ
ตอบข้อ 4
การ |
ตอบข้อ 3
นาฬิกาแบบลูกตุ้ม
คุณเคยเห็นนาฬิกา รุ่นคุณปู่หรือไม่ ที่มีลูกตุ้มแกว่งไปมาอยู่ด้านล่าง และเข็มของนาฬิกาเดินตามจังหวะของการแกว่ง ถ้าคุณไม่กลัวว่านาฬิกาของคุณปู่จะพัง ลองแกะเข้าไปดู ภายในคุณจะได้เห็นสปริง และเกียร์ ดูสลับซับซ้อน อาจจะตกใจว่ามนุษย์นี่หนอสามารถคิดอะไรที่สลับซับซ้อนได้ปานนี้ฟิสิกส์ราชมงคลจะอธิบายการทำงานของนาฬิกาแบบลูกตุ้มนี้ และเปิดเผยกลไกที่อยู่ภายในให้คุณได้เห็น ว่า มันเป็นอย่างไร
มนุษย์เริ่มใช้นาฬิกาแบบลูกตุ้มมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1659 ในขณะนั้นถือว่ามีความเที่ยงตรงสูงมาก นาฬิกามีชิ้นส่วนสำคัญต่างๆดังต่อไปนี้
- หน้าปัดมีเข็มชั่วโมง นาที และวินาที
- มีตุ้มน้ำหนักจำนวน 1 หรือมากกว่า (ถ้าเป็นนาฬิกาที่ทันสมัยขึ้นมาอีกหน่อย จะใช้สปริงขดเป็นวงแทน)
- ลูกตุ้มที่แกว่งไปมา ซึ่งการแกว่งทั่วๆไป คือ หนึ่งครั้งต่อหนึ่งวินาที หรือบางยี่ห้อก็แกว่งสองครั้งต่อวินาที ส่วนนาฬิการุ่นที่เก่าจริงๆ จะแกว่ง 1 ครั้งต่อ 2 วินาที
ตอบข้อ 2
การเคลื่อนที่ คือ การที่วัตถุย้ายตำแหน่งจากที่เดิมไปอยู่ที่ตำแหน่งใหม่ ปริมาณที่ใช้บอกขนาดของการเคลื่อนที่ของวัตถุ คือ ระยะทางและการกระจัด
ระยะ ทาง คือ ความยาวที่วัดตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ จัดเป็นปริมาณสเกลลาร์
การ กระจัด คือ ระยะที่วัดจากจุดตั้งต้นของการเคลื่อนที่ ตรงไปยังตำแหน่งที่วัตถุอยู่ในขณะนั้น โดยไม่สนใจว่าวัตถุจะมีเส้นทางการเคลื่อนที่เป็นอย่างไร จัดเป็นปริมาณเวกเตอร์
มด ตัวหนึ่งเดินไต่ผนังเป็นรูปวงกลม เมื่อเดินได้เป็นรูปครึ่งวงกลม จะได้ว่า ระยะทางที่มดเดินเท่ากับครึ่งหนึ่งของความยาวเส้นรอบวงของวงกลม ขนาดของการกระจัดเท่ากับความยาวของเส้นผ่าศูนย์กลางและมีทิศทางตรงจากของ เส้นรอบวงด้านหนึ่งตรงไปยังเส้นรอบวงด้านตรงข้าม
ตอบข้อ 4
สืบค้นข้อมูล
การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ คือการ เคลื่อนที่ในแนวโค้งพาราโบลา ซึ่งเกิดจากวัตถุได้รับความเร็วใน 2 แนวพร้อมกัน คือ ความเร็วในแนวราบและความเร็วในแนวดิ่ง ตัวอย่างของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ ได้แก่ ดอกไม้ไฟ น้ำพุ การเคลื่อนที่ของลูกบอลที่ถูกเตะขึ้นจากพื้น การเคลื่อนที่ของนักกระโดดไกล
กาลิเลโอ เป็นคนแรกที่ อธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ได้อย่างละเอียด เขาได้อธิบายว่าถ้าจะศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุแบบโพรเจกไทด์ได้อย่าง ละเอียดนั้น ต้องแยกศึกษาส่วนประกอบในแนวราบ และ ในแนวดิ่งอย่างอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน ในสมัยกรีกโบราณเชื่อตามทฤษฎีของอริสโต เติลที่ว่าถ้ายิงวัตถุจากปืนใหญ่ (ดังรูป) วัตถุจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงตามแนวที่ยิง และวัตถุจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ให้จนกระทั่งความเร็วนั้นค่อย ๆ ลดลง จนเป็นศูนย์ แล้ววัตถุจะตกลงมาอย่างรวดเร็วที่ตำแหน่งนั้น
ต่อมาจากการสังเกตอย่างละเอียดของ Niccolo Tartaglia พบว่าอันที่จริงแล้วการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์นั้น แนวการเคลื่อนที่เป็นรูปโค้ง ในขณะนั้นไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร ต่อมากาลิเลโอได้ อธิบายว่า การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ เป็นการเคลื่อนที่ที่ประกอบด้วยการเคลื่อนที่ในสองแนวไม่ใช่แนวเดียว โดยในแนวดิ่งจะมีแรงเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกกระทำต่อวัตถุให้เคลื่อนที่ลง ด้วยความเร่ง และในเวลาเดียวกับที่วัตถุถูกดึงลง โพรเจกไทล์ก้ยังคงเคลื่อนที่ตรงในแนวราบด้วย ( หลักความเฉื่อย ของกาลิเลโอ Galilao's pricipal Inertia )เขาแสดงให้เห็นว่า โพรเจกไทล์นั้นได้ จะประกอบด้วยการเคลื่อนที่ 2 แนว พร้อม ๆกัน โดยในแต่ละแนวนั้นจะเคลื่อนที่อย่างอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน และยังพบว่าเส้นทางการเคลื่อนที่ของโพรเจกไทล์จะเป็นรูปเรขาคณิต ที่เรียกว่า "พาราโบลา ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/19708ตอบข้อ 3สืบค้นข้อมูล
กรณีที่วัตถุเคลื่อน ที่อัตราเร็วที่ไม่สม่ำเสมอ หรือความเร็วไม่สม่ำเสมอ วัตถุมีค่าความเร่ง ความหมาย ของอัตราเร่งหรือความเร่ง คือ อัตราเร็วหรือ ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลาที่วัตถุมีการเคลื่อน ที่ การ คำนวณหาค่าอัตราเร่ง ทำได้โดยหาอัตราเร็วที่เปลี่ยนไปโดยใช้อัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่ลบ ด้วยอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่ หารด้วยเวลาที่ใช้เปลี่ยนค่าอัตราเร็วนั้น เช่น กำหนด ให้ เป็นอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่
เป็นอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่
เป็นเวลาขณะที่เริ่มต้นการเคลื่อนที่
เป็นเวลาในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนที
เป็นค่าอัตราเร่งของการเคลื่อนที่
สมการแสดงความสัมพันธ์ คือ
หรือ ถ้า คือ ช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนค่าอัตราเร็ว (สมการที่ 2)
สำหรับสูตรในการคำนวณหาค่าความเร่ง ใช้สูตรเดียวกัน เพียงแต่ค่าความเร็วที่เปลี่ยนไปเป็นปริมาณสเกลลาร์ ลองคิดดู ถ้าอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่มีค่าน้อยกว่าอัตราเร็วเริ่มต้นการ เคลื่อนที่ค่าของอัตราเร่งเป็นอย่างไร
ค่าความเร่งเป็นลบ อธิบายการเคลื่อนที่ได้อย่างไร มีผลเช่นเดียวกับค่าอัตราเร่งที่เป็นลบหรือไม่ที่มา http://www.snr.ac.th/elearning/kosit/sec02p02.htmlตอบข้อ 1สืบค้นข้อมูลอัตราเร็ว (สัญลักษณ์: v) คืออัตราของ การเคลื่อน ที่ หรือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งก็ได้ หลายครั้งมักเขียนในรูป ระยะทาง d ที่เคลื่อนที่ไปต่อ หน่วย ของ เวลา tอัตราเร็ว เป็นปริมาณสเกลาร์ที่มีมิติเป็นระยะทาง/เวลา ปริมาณเวกเตอร์ที่เทียบ เท่ากับอัตราเร็วคือความเร็ว อัตราเร็ววัดในหน่วยเชิงกายภาพเดียวกับความเร็ว แต่อัตราเร็วไม่มีองค์ประกอบของทิศทางแบบที่ความเร็วมี อัตราเร็วจึงเป็นองค์ประกอบส่วนที่เป็นขนาดของความเร็วในรูปสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ อัตราเร็วคือ
ตัวนำเส้นตรงมีความยาว L ดังรูปเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กสม่ำเสมอที่มีทิศพุ่งเข้าไปในกระดาษโดย สมมติให้ตัวนำเคลื่อนที่ในทิศที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กด้วยความเร็วคงที่ อิเล็กตรอนในตัวนำได้รับแรง
โดยแรงมีทิศตามความยาว L และตั้งฉากกับและภาย ใต้อิทธิพลของแรงนี้อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไปที่ปลายด้านล่างของตัวนำและ เกิดการสะสมที่นั่น ทำให้เกิดประจุบวกที่ปลายด้านบนของตัวนำ
ผล จากการกระจายประจุทำให้เกิดสนามไฟฟ้าภายในตัวนำ ประจุจะมีการสะสมที่ปลายทั้งสองจนกระทั่งแรงแม่เหล็กqvB มีค่าสมดุลเนื่องจากการเพิ่มแรงไฟฟ้า qE ที่จุดนี้อิเล็กตรอนจะหยุดเคลื่อนที่ จะได้ว่า qE = qvB หรือ E = vB สนามไฟฟ้าที่เกิดในตัวนำสัมพันธ์กับความต่างศักย์ที่ตกคร่อมปลายทั้งสองของ ตัวนำสอดคล้
องกับความ สัมพันธ์ เดลต้าV = EL ดังนั้น
เมื่อปลายด้านบนมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าปลาย ด้านล่าง ดังนั้นความต่างศักย์ระหว่างปลายตัวนำจะมีค่าคงอยู่ตลอดขณะที่แท่งตัวนำ เคลื่อนที่ผ่าน
สนามแม่เหล็กสม่ำเสมอ ถ้าแท่งตัวนำเคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้ามขั้วความต่างศักย์ก็จะกลับขั้วด้วย
ที่มา http://www.oknation.net/blog/wasan50291216/2009/08/27/entry-2
ตอบข้อ 4
กรณีที่วัตถุเคลื่อน ที่อัตราเร็วที่ไม่สม่ำเสมอ หรือความเร็วไม่สม่ำเสมอ วัตถุมีค่าความเร่ง ความหมาย ของอัตราเร่งหรือความเร่ง คือ อัตราเร็วหรือ ความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่งหน่วยเวลาที่วัตถุมีการเคลื่อน ที่ การ คำนวณหาค่าอัตราเร่ง ทำได้โดยหาอัตราเร็วที่เปลี่ยนไปโดยใช้อัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่ลบ ด้วยอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่ หารด้วยเวลาที่ใช้เปลี่ยนค่าอัตราเร็วนั้น เช่น กำหนด ให้ เป็นอัตราเร็วเริ่มต้นของการเคลื่อนที่
เป็นอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่
เป็นเวลาขณะที่เริ่มต้นการเคลื่อนที่
เป็นเวลาในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนที
เป็นค่าอัตราเร่งของการเคลื่อนที่
สมการแสดงความสัมพันธ์ คือ
หรือ ถ้า คือ ช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนค่าอัตราเร็ว (สมการที่ 2)
สำหรับสูตรในการคำนวณหาค่าความเร่ง ใช้สูตรเดียวกัน เพียงแต่ค่าความเร็วที่เปลี่ยนไปเป็นปริมาณสเกลลาร์ ลองคิดดู ถ้าอัตราเร็วสุดท้ายของการเคลื่อนที่มีค่าน้อยกว่าอัตราเร็วเริ่มต้นการ เคลื่อนที่ค่าของอัตราเร่งเป็นอย่างไร
ค่าความเร่งเป็นลบ อธิบายการเคลื่อนที่ได้อย่างไร มีผลเช่นเดียวกับค่าอัตราเร่งที่เป็นลบหรือไม่ที่มา http://www.snr.ac.th/elearning/kosit/sec02p02.htmlตอบข้อ 1สืบค้นข้อมูลอัตราเร็ว (สัญลักษณ์: v) คืออัตราของ การเคลื่อน ที่ หรือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งก็ได้ หลายครั้งมักเขียนในรูป ระยะทาง d ที่เคลื่อนที่ไปต่อ หน่วย ของ เวลา tอัตราเร็ว เป็นปริมาณสเกลาร์ที่มีมิติเป็นระยะทาง/เวลา ปริมาณเวกเตอร์ที่เทียบ เท่ากับอัตราเร็วคือความเร็ว อัตราเร็ววัดในหน่วยเชิงกายภาพเดียวกับความเร็ว แต่อัตราเร็วไม่มีองค์ประกอบของทิศทางแบบที่ความเร็วมี อัตราเร็วจึงเป็นองค์ประกอบส่วนที่เป็นขนาดของความเร็วในรูปสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ อัตราเร็วคือ
- เมตรต่อวินาที, (สัญลักษณ์ m/s) , ระบบหน่วย SI
- กิโลเมตรต่อชั่วโมง, (สัญลักษณ์ km/h)
- ไมล์ต่อชั่วโมง, (สัญลักษณ์ mph)
- นอต (ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง, สัญลักษณ์ kt)
- มัค เมื่อมัค 1 เท่ากับ อัตราเร็วเสียง มัค n เท่ากับ n เท่าของอัตราเร็วเสียง
-
- มัค 1 ≈ 343 m/s ≈ 1235 km/h ≈ 768 mi/h (ดู อัตราเร็วเสียง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม)
- อัตราเร็วแสง ใน สุญญากาศ (สัญลักษณ์ c) เป็นหนึ่งใน หน่วยธรรมชาติ
-
- c = 299,792,458 m/s
- การเปลี่ยนหน่วยที่สำคัญ
-
- 1 m/s = 3.6 km/h
- 1 mph = 1.609 km/h
- 1 knot = 1.852 km/h = 0.514 m/s
ตัวนำเส้นตรงมีความยาว L ดังรูปเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กสม่ำเสมอที่มีทิศพุ่งเข้าไปในกระดาษโดย สมมติให้ตัวนำเคลื่อนที่ในทิศที่ตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กด้วยความเร็วคงที่ อิเล็กตรอนในตัวนำได้รับแรง
โดยแรงมีทิศตามความยาว L และตั้งฉากกับและภาย ใต้อิทธิพลของแรงนี้อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่ไปที่ปลายด้านล่างของตัวนำและ เกิดการสะสมที่นั่น ทำให้เกิดประจุบวกที่ปลายด้านบนของตัวนำ
ผล จากการกระจายประจุทำให้เกิดสนามไฟฟ้าภายในตัวนำ ประจุจะมีการสะสมที่ปลายทั้งสองจนกระทั่งแรงแม่เหล็กqvB มีค่าสมดุลเนื่องจากการเพิ่มแรงไฟฟ้า qE ที่จุดนี้อิเล็กตรอนจะหยุดเคลื่อนที่ จะได้ว่า qE = qvB หรือ E = vB สนามไฟฟ้าที่เกิดในตัวนำสัมพันธ์กับความต่างศักย์ที่ตกคร่อมปลายทั้งสองของ ตัวนำสอดคล้
องกับความ สัมพันธ์ เดลต้าV = EL ดังนั้น
เมื่อปลายด้านบนมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าปลาย ด้านล่าง ดังนั้นความต่างศักย์ระหว่างปลายตัวนำจะมีค่าคงอยู่ตลอดขณะที่แท่งตัวนำ เคลื่อนที่ผ่าน
สนามแม่เหล็กสม่ำเสมอ ถ้าแท่งตัวนำเคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้ามขั้วความต่างศักย์ก็จะกลับขั้วด้วย
ที่มา http://www.oknation.net/blog/wasan50291216/2009/08/27/entry-2
ตอบข้อ 4
คะแนนเต็ม 100คะแนน
ตอบลบให้ 95 คะแนน
เต็ม 100 คะแนน
ตอบลบให้ 95 คะแนน
รวม2คนได้ 95 คะแนน
ตอบลบ